แนวคิด
ความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility :
CSR) เป็นกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมที่ผู้บริหารนำมาใช้ในการตัดสินใจ เพื่อดำเนินการบริหารองค์การและการปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสีย ความรับผิดชอบนี้มิได้บังคับไว้ตามกฎหมาย ผู้บริหารจะต้องพิจารณาว่า องค์กรควรมีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไร มากน้อยเพียงใดบนพื้นฐานรายได้และผลตอบแทนอันจะทำให้องค์กรสามารถดำเนินต่อไปได้ ดังนั้น ผู้บริหารองค์กรควรหาผลตอบแทน ด้วยการรับผิดชอบทางเศรษฐกิจ ปฏิบัติตามกฎหมาย ดำเนินกิจการที่ถูกต้องชอบธรรม และหลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นอันตรายต่อสังคมควบคู่กับการดำเนินงานขององค์กร
สาระการเรียนรู้
1. บทนำ
2. ความรับผิดชอบต่อสังคม
3. การจัดการด้านจริยธรรม
4. การสร้างมาตรฐานทางจริยธรรม
5. ขอบเขตความรับผิดชอบขององค์กร
ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
1. อธิบายความรับผิดชอบที่องค์กรมีต่อสังคมได้
2. อธิบายการจัดการด้านจริยธรรมขององค์กรได้
3. อธิบายการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมขององค์กรได้
4. อธิบายขอบเขตความรับผิดชอบขององค์กรได้
บทนำ
องค์กรที่ประสบความสำเร็จประการหนึ่งจะดูได้จากผลตอบแทน ได้แก่ กำไร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อความคงอยู่ขององค์กร เพราะกำไรทำให้องค์กรได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ผู้ถือหุ้นมีความมั่นใจ พนักงานมีความมั่นคงในการทำงาน ลูกค้าได้รับสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการและรัฐก็ได้รับภาษี ซึ่งถ้ามองในทรรศนะนี้แล้วองค์กรจะอยู่ได้ก็เพราะกำไรเป็นผลตอบแทนจากการดำเนินกิจการ ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบขององค์กรที่มีต่อสังคมเพียงพอหรือไม่ ถ้ายังไม่มีความรับผิดชอบควรอยู่ตรงจุดใด ซึ่งสังคมมีได้กล่าวถึงไว้ถ้าได้กล่าวถึงจริยธรรมทางธุรกิจ ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับค่านิยม และมาตรฐานเชิงพฤติกรรมองค์กรใช้และแก้ไขปัญหาด้วยแล้วจะยิ่งหาจุดลงตัวได้ยากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าผู้บริหารจะสามารถใช้ดุลพินิจวินิจฉัยได้ แต่ในหลาย ๆ กรณีได้มีข้อถกเถียงว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ถูกต้อง และสิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ เพราะสังคมของเราในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อนมากขึ้น
กระแสโลกาภิวัฒน์ที่มีต่อ จริยธรรม ความต้องการของสังคมที่มีพฤติกรรมทางธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไป และมีการเรียกร้องให้การดำเนินความรับผิดชอบที่กิจการของตนเองมีต่อสังคมให้มากยิ่งขึ้นไม่ว่ากิจการจะใหญ่ หรือเล็กต้องทำการประเมินความรับผิดชอบที่กิจการของตนเองมีต่อสังคมใหม่ทั้งหมด ดังนั้น ผู้บริหารที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมจะต้องทำความเข้าใจกับสิ่งแวดล้อมอาชีวอนามัย และผลกระทบมากยิ่งขึ้น เพราะองค์กรที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบันไม่เพียงแต่จะต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับกิจการของตนเองเท่านั้น แต่จะต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดต่อสังคมอีกด้วย
การที่กระแสเรียกร้องของสังคมโลกที่มีต่อจริยธรรมทางธุรกิจ และความรับผิดชอบต่อสังคมนั้น เนื่องมาจากการที่สังคมเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น และถูกเชื่อมโยงเข้าหากันเป็นสังคมโลกและทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างกำจัดถูกทำลาย ดังนั้น กลุ่มและองค์กรต่าง ๆ ที่อยู่ในแต่ละสังคมต่างได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้น จากความซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้กลายเป็นพลังดันให้กิจการต่าง ๆ
ต้องพิจารณาถึง “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” (Stakeholders) ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานขององค์กร และต้องพิจารณาถึงบทบาทและวิธีการที่จะเกี่ยวข้องกับบุคคล กลุ่มและองค์การดังกล่าว นอกจากนั้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยังมีส่วนกำหนดระดับความสำเร็จขององค์กร การเชื่อมโยงระหว่างกิจการและคนในสังคมที่ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญ
ๆ ในการพิจารณาถึงกรอบของจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม
ความรับผิดชอบต่อสังคม
ปัจจุบันนี้กระแสสังคมได้มีการเรียกร้องให้องค์การ ทั้งด้านการผลิตและบริการต้องรับผิดชอบต่อสังคมมากยิ่งขึ้นและนี่คือการรับรู้ใหม่เกี่ยวกับบทบาทขององค์การที่ผู้บริหารมิอาจที่จะมองข้าม ในปัจจุบันเป็นจำนวนมากจากส่วนต่าง ๆ
ของโลกต่างเฝ้ามองธุรกิจการดำเนินการขององค์การต่าง ๆ และคาดหวังว่าผู้ประกอบการเหล่านี้จะประพฤติปฏิบัติตน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของลูกค้า สิ่งแวดล้อม และสาธารณชนควบคู่กับการแสวงกำไร พันธะนี้เรียกว่า “ความรับผิดชอบต่อสังคม” (Social Responsibilities) จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารองค์การที่จะต้องทำความเข้าใจต่อพันธะทางสังคมและกฎเกณฑ์ทางจริยธรรม
การที่ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์การธุรกิจได้กลายมาเป็นประเด็นสำคัญ ที่องค์การต้องนำพิจารณานั้น ทั้งนี้เพราะว่าความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคมมีส่วนผลักดันให้ขอบเขตความรับผิดชอบต่อสังคมได้ขยายตัวออกไป ดังนั้น องค์การที่จะดำรงอยู่ในสังคม จึงต้องปกป้องและพัฒนาสังคมควบคู่กันกับการบรรลุเป้าหมายทางการเงิน ถ้าองค์การปราศจากความรับผิดชอบต่อสังคมแล้วในระยะยาวกิจการนั้น ๆ
จะได้รับการปฏิเสธจากสังคม ดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องใช้ความพยายาม เพื่อแสวงหาผลกำไรปฏิบัติตามกฎหมายที่ได้แสดงถึงระดับความรับผิดชอบต่อสังคมแบ่งออกได้ 4 ระดับ ดังนี้
- ความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจ (Economic
Responsibility)
ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี บุคคลไม่เพียงแต่จะมีสิทธิในการประกอบธุรกิจการเท่านั้น การที่องค์กรเป็นผู้ผลิตและให้บริการถ้าองค์กรไม่มีผลตอบแทนหรือกำไรที่คุ้มค่าแล้ว องค์กรก็ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ดังนั้น พื้นฐานการดำเนินการขององค์กรจึงขึ้นอยู่กับการแสวงหาผลกำไรเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อสร้างหลักประกันที่สำคัญแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาสภาวะการแข่งขันและประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตลาดการค้าที่มีการแข่งขันกันอย่างเสรีการดำเนินงาน ขององค์กรจะต้องเป็นไปตามกลไกของตลาด โดยที่รัฐเป็นผู้ควบคุมสาธารณูปโภคและสินค้าบางอย่างถ้าเกิดวิกฤตการณ์ที่มีผลต่อความมั่นคง รัฐอาจใช้วิธีกำหนดนโยบายควบคุมราคาสินค้า ซึ่งทางองค์กรต้องปฏิบัติตามที่รัฐกำหนด
- ความรับผิดชอบทางกฎหมาย (Legal Responsibility)
นอกเหนือจากการที่องค์กรดำเนินการแสวงหาผลกำไรแล้ง องค์กรควรมีความรับผิอชอบที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่องค์การต้องใช้พิจารณาถึงความถูกหรือความผิดที่มีต่อสังคม กฎเกณฑ์นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามกฎหมายกำหนดการที่กฎหมายต่าง ๆ
ไม่สามารถครอบคลุมกิจกรรมการดำเนินงานได้ทุกด้าน ดังนั้น กรณีที่อยู่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายองค์กรต้องวินิจฉัยว่าอะไรคือความถูกต้อง
โดยทั่วไปกฎเกณฑ์ทางธุรกิจกฎหมายจะควบคุมและให้ความสำคัญ 4 กลุ่มดังนี้
1. ผู้บริโภค
2. การแข่งขัน
3. สิ่งแวดล้อม
4. ความเท่าเทียมและความปลอดภัย
- ความรับผิดชอบต่อจริยธรรม (Ethical Responsibility)
ความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจและกฎหมาย ถือว่าเป็นพันธะที่องค์กรต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะเป็นมาตรฐานความคาดหวังของสังคมที่มีต่อการดำเนินงานขององค์การ แต่จริยธรรมถือเป็นกฎเกณฑ์ของค่านิยมทางศีลธรรมที่องค์กรใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ดังนั้น ความรับผิดชอบต่อจริยธรรมจึงเป็นกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมที่องค์กรใช้ในการตัดสินใจและปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน ชุมชนและสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน
การจัดการภาคการผลิตและบริการ องค์การมักจะเผชิญกับปัญหาด้านจริยธรรม เช่น การวินิจฉัยปัญหาจริยธรรม (Ethical
Dilemmas) เนื่องจากความซับซ้อนของปัญหามีมากจนยากต่อการตัดสินใจของผู้บริหารองค์กร ตัวอย่างเช่น การจำหน่ายสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่องค์กรกำหนดไว้ แต่สินค้านั้นได้มาตาฐานขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด หรือการละเมิดจริยธรรม (Ethical lapses) ซึ่งเป็นปัญหาเมื่อองค์การดำเนินการอย่างขาดจริยธรรมที่มีผลกระทบต่อสังคม
ความรับผิดชอบต่อจริยธรรมขององค์กรไม่อาจพิสูจน์อย่างชัดเจนต่อผลกำไรก็ตาม แต่ในระยะยาวแล้วองค์กาใดก็ตามที่ไม่ได้แสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว องค์กรนั้นก็ไม่ได้รับความเชื่อถือ ศรัทธาจากลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ
- ความรับผิดชอบอย่างพินิจพิเคราะห์ (Discretionary
responsibilities)
เป็นความรับผิดชอบด้วยความสมัครใจของผู้บริหารโดยตรง ความรับผิดชอบนี้ไม่ได้บังคับไว้ตามกฎหมายจะเห็นได้ว่า ความรับผิดชอบต่อสังคมนั้นผู้บริหารจะเลือกทำสิ่งที่ได้ผลประโยชน์ได้กำไรแต่ต้องไม่ผิดกฎหมาย ถ้ามีความรับผิดชอบสูงขึ้นไปอีกก็จะเป็นความรับผิดชอบที่คำนึงถึงจริยธรรม โดยจะเห็นได้จากการที่ผู้บริหารองค์กรให้ความสำคัญหรืออาจเข้าไปมีส่วนรวมในโครงการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชน การยกระดับมาตรฐานการดำรงชีพความรับผิดชอบในขั้นนี้องค์การมิได้มุ่งหวังผลตอบแทนที่จะกลับคืนมาสู่องค์การ แต่เป็นการให้เปล่าซึ่งบางองค์กรใช้คำว่า การคืนกำไรสู่สังคม องค์กรที่มิได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรม ที่มีประโยชน์ต่อสังคมก็ไม่ได้หมายความว่าองค์กรนั้นขาดจริยธรรมทางธุรกิจแต่อย่างไร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้บริหารเป็นสำคัญ
การจัดการด้านจริยธรรม
ปัญหาการละเมิดจริยธรรมในองค์กร
การดำเนินธุรกิจใดก็ตามพฤติกรรมการหลอกลวง ฉ้อฉล การล้วงความลับทางการค้าและอื่น ๆ
ไมได้เกิดแต่เฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น องค์กรขนาดย่อม ก็มีปัญหาเหมือนกันจริยธรรมทางธุรกิจเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนซับซ้อน มีผลต่อความน่าเชื่อถือของกิจการ การดำรงไว้ซึ่งกิจกรรมของธุรกิจขนาดย่อม ไม่ใช่สิ่งที่พึงปฏิบัติได้โดยง่าย โดยเฉพาะในช่วงที่กิจการต้องเผชิญกับการแข่งขันปัญหาทางการเงินจนบางครั้งผู้ประกอบการอาจลืม เรื่อง จริยธรรมแสวงหาผลประโยชน์เฉพาะหน้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่เลี่ยงภาษี การแสดงงบการเงินเท็จเพื่อที่ขอกู้เงินกับสถาบันการเงินและเจ้าหนี้ การบิดเบือนข้อเท็จจริงกับลูกค้า เป็นต้น
แนวคิดที่ผิดพลาดมากที่สุดขององค์การอีกประการหนึ่ง คือ ความเชื่อถือที่ว่า จริยธรรมและผลกำไรเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน พฤติกรรมทางจริยธรรมจะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้บริหารแต่ถ้าผู้บริหารพิจารณาถึงผลประโยชน์ ที่องค์การจะได้รับจะพบว่ามีอยู่หลายประการด้วยกัน คือ
1. องค์การสามารถรักษาความน่าเชื่อถือของกิจการไว้ได้ ขณะที่องค์การที่ขาดจริยธรรมทางธุรกิจโดยปกติจะได้รับผลตอบแทนระยะสั้นเท่านั้น
2. การมีกรอบจริยธรรมที่มั่นคงจะให้แนวทางแก่ผู้บริหาร ที่จะเผชิญกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงและมีความซับซ้อน
3. ผู้บริหารมีแนวทางที่ปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่ชัดเจนบนพี้นฐานความเชื่อมั่น
4. องค์การที่มีจริยธรรมจะได้รับการเอาใจใส่จากลูกค้า
เมื่อองค์กรต้องเผชิญกับปัญหาการตัดสินใจเกี่ยวกับจริยธรรมไม่ได้หมายความว่า ผู้บริหารหรือผู้ประกอบการจะทำการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ในความเป็นจริงแล้วการปฏิบัติที่ขาดจริยธรรมส่วนใหญ่เป็นผลจากสภาวการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดจนค่านิยมทางศีลธรรมของแต่ละบุคคล สาเหตุการละเมิดจริยธรรมขององค์กรพอสรุปได้ดังนี้
1. เป้าหมายองค์การ การละเมิดจริยธรรมอาจเกิดจากการที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นในด้านผลกำไร การได้เปรียบทางการแข่งขัน ค่าใช้จ่าย ฯลฯ ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวมีผลต่อการตัดสินใจ ในการดำเนินงานของผู้บริหารจนอาจก่อให้เกิดปัญหาการละเมิดจริยธรรมขึ้นภายในองค์การได้
2. เป้าหมายส่วนบุคคล การตัดสินใจของแต่ละบุคคลมักยึดถือเป้าหมาย หรือความต้องการของตนเป็นหลัก จนมีผลต่อการละเมิดจริยธรรมเกิดขึ้น เช่น ความต้องการที่จะได้เลื่อนตำแหน่งสายงาน หรือการได้รับการยอมรับ เป็นต้น
3. การแข่งขันมีผลต่อพฤติกรรมส่วนตัว และขององค์กรเป็นอย่างมากเพื่อความอยู่รอดขององค์กร สิ่งที่ไม่เคยยอมรับมาก่อนอาจได้รับการยอมรับ เช่น การโฆษณาชวนเชื่อและพฤติกรรมอื่น ๆ ที่ตอบโต้การแข่งขัน การเร่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่จนมิได้คำนึงถึงคุณภาพ เป็นต้น
4. การฉกฉวยโอกาสที่เอื้ออำนวย ในสถานการณ์ที่โอกาสทางธุรกิจเอื้ออำนวย จนก่อให้เกิดการประพฤติการปฏิบัติที่ละเมิดจริยธรรมได้ เช่น การเร่งการผลิตจนผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐานการเพิ่มเวลาการปฏิบัติงานให้กับพนักงาน เป็นต้น
5. การเลียนแบบกันองค์กรถึงแม้จะรับรู้ถึงความไม่ถูกต้อง แต่ถ้าสิ่งเหล่านั้นมีการประพฤติปฏิบัติกันอย่างกว้างขวาง ก็อาจมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้บริหารองค์กร เช่น การหลีกเลี่ยงภาษี การขาดความรับผิดชอบต่อปัญหามลภาวะ เป็นตัน
6. การดำเนินธุรกิจข้ามชาติ เนื่องจากกฎหมายและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน การปฏิบัติที่ผิดกฎหมายอีกประเทศหนึ่งอาจได้รับการยอมรับของอีกประเทศหนึ่ง
7. การขาดความรับผิดชอบ บุคคลประเภทนี้มักก่อให้เกิดปัญหากับสังคมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการประพฤติปฏิบัติที่ผิดกฎหมาย การไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายต่อจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นอย่างมาก
ปัญหาจริยธรรมขององค์การเป็นสิ่งที่สามารถจัดการได้ โดยอาศัยกระบวนการทางจริยธรรมเพื่อกำหนดกรอบทางจริยธรรม หลักความเชื่อ จรรยาบรรณ การตรวจสอบและการควบคุม
การสร้างมาตรฐานทางจริยธรรม
แม้ว่าจะไม่มีมาตรฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมทางจริยธรรม แต่ในทางปฏิบัติองค์กรควรกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้น เพื่อให้บุคลากรใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ถึงแม้ว่ามาตรฐานที่กำหนดขึ้นนี้จะไม่ใช่การแก้ไขปัญหาทางจริยธรรมที่เป็นสากลก็ตาม แต่ถือเป็นวิธีการที่ช่วยให้บุคลากรสามารถตัดสินใจกับปัญหาทางจริยธรรมได้อย่างเหมาะสม และเข้าใจผลกระทบจากการปฏิบัติก่อนที่จะทำการตัดสินใจ
ขั้นตอนการจัดการกับพฤติกรรมทางจริยธรรม
การสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมถือเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งขององค์กร แต่การรักษามาตรฐานทางจริยธรรมนั้นถือเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อการจัดการอย่างแท้จริง การปลูกฝังพฤติกรรมทางจริยธรรมเป็นสิ่งที่เราสามารถจัดการได้ องค์กรสามารถดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. การกำหนดกรอบทางจริยธรรมและสร้างหลักความเชื่อถือขององค์กร ซึ่งจะต้องพัฒนากรอบทางจริยธรรมให้ชัดเจน เป็นรูปธรรมและสามารถนำไปปฏิบัติได้ในแต่ละประเด็น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานขององค์กร การกำหนดกรอบทางจริยธรรมนั้นมีกระบวนการที่สำคัญ
4 ขั้นตอน คือ
1.1 การรับรู้ทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ ก่อนที่องค์การจะทำการตัดสินใจปัญหาใดทางจริยธรรมได้อย่างเหมาะสม ควรต้องรู้สึกสถานการณ์ที่เป็นอยู่ องค์กรจะต้องกำหนดประเด็นทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพราะองค์กรต่าง ๆ ส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจอย่างเพียงพอ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวองค์กรต้องพิจารณา ถึงปัญหาทางจริยธรรม ในแต่ละประเด็นไม่ว่าจะเป็นในด้านความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบต่อลูกค้า ความยุติธรรม ความเอาใจใสต่อชุมชนสิ่งแวดล้อม และอื่น
ๆ
1.2 การกำหนดผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กรมักจะขัดแย้งกัน เช่น พนักงานต้องการให้องค์กรปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเคร่งครัด ลูกค้าต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสมผู้ถือหุ้นต้องการผลตอบแทนระดับสูง ชุมชนต้องการให้องค์การมีความเอาใจใส่ต่อสังคม เป็นต้น
องค์กรจึงต้องรักษาดุลยภาพของเป้าหมายที่ขัดแย้งกัน และเลือกว่าจะสร้างความพอใจให้กับกลุ่มใดและในระดับใดก่อนตัดสินใจ ผู้บริหารต้องพิจารณาผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่ากลุ่มใดมีความสำคัญในสถานการณ์นั้น
ๆ
1.3 การสร้างทางเลือกในทางปฏิบัติโดยองค์การต้องพิจารณาถึงทางเลือกที่เป็นไปได้ และผลกระทบที่เกิดขึ้นในแต่ละทางเลือกว่ามีต่อกลุ่มใดบ้างและในระดับใด จำแนกผลดีผลเสียในแต่ละทางเลือก
1.4 กำหนดทางเลือกที่ดีที่สุดและปฏิบัติ ซึ่งองค์การควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับเป้าหมายค่านิยมและวัฒนธรรมองค์การ การตัดสินใจทางจริยธรรมจึงไม่ใช่ภาระงานที่ง่าย ดังนั้นกรอบทางจริยธรรมที่องค์กรกำหนดขึ้นนี้
จะทำให้ผู้เกี่ยวข้องรับรู้ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับ
กลุ่มต่าง ๆ
2. การกำหนดหลักจรรยาบรรณ จรรยาบรรณ (Ethical) คือ
ข้อความที่บ่งบอกถึงมาตรฐานเชิงพฤติกรรมอะไรบ้างที่คาดหวังใช้เป็นแนวทางที่เป็นรูปธรรม ในการปฏิบัติและหลักทางจริยธรรมที่องค์กรคาดหวังว่าจะได้รับจากบุคลากร แม้จรรยาบรรณจะไม่ให้หลักประกันเกี่ยวกับพฤติกรรมทางจริยธรรมก็ตาม แต่จรรยาบรรณได้สร้างมาตรฐานเชิงพฤติกรรมให้กับองค์กร การจัดการด้านจริยธรรมโดยทั่วไปเกิดจากความต้องการของผู้บริหาร ไม่ว่าจะเป็นหลักความเชื่อและจรรยาบรรณ ดังนั้น การสร้างแบบอย่างทางจริยธรรมที่ดีผู้บริหารจะต้องเน้นที่การประพฤติตัวเป็นแบบอย่างมากกว่าการที่จะใช้การพูดหรือการกำหนดแต่นโยบาย
3. การประกาศใช้หลักจรรยาบรรณ องค์กรจะต้องดำเนินการเมื่อพบว่ามีการกระทำที่ละเมิดหลักจรรยาบรรณ ถ้าบุคลากรภายในองค์กรเรียนรู้ว่า ไม่ได้รับการลงโทษเมื่อมีการละเมิดจรรยาบรรณ จรรยาบรรณที่สร้างขึ้นมาจะไม่มีความหมาย การที่องค์กรกำหนดจรรยาบรรณเป็นสิ่งที่ง่าย แต่การที่จะคงไว้นั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ถ้าต้องนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
4. การฝึกอบรมการประพฤติปฏิบัติจริยธรรม การปลูกฝังจริยธรรมเพื่อสร้างเป็นวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่องค์กรต้องดำเนินต่อจากการสร้างจรรยาบรรณและการประกาศใช้ องค์กรจะต้องแสดงให้บุคลากรเห็นว่าองค์กรได้ตกลงใจ ที่จะปฏิบัติตามหลักจริยธรรมที่องค์กรกำหนดอย่างมั่งคง ซึ่งวิธีกรที่มีประสิทธิผลมากที่สุด คือ การฝึกอบรม เพื่อปลูกจิตสำนึกที่ถูกต้องให้กับ
5. การเลือกบุคลากรที่เหมาะสม จริยธรรมส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของพื้นฐานของแต่ละบุคคล ดังนั้น การเลือกบุคคลที่มีหลักการและค่านิยมทางศีลธรรมที่ดีจะให้หลักประกันเกี่ยวกับปัญหาการละเมิดจริยธรรม เพราะการตัดสินใจทางจริยธรรมบุคลากรจะต้องมี ข้อผูกพันต่อจริยธรรมเพื่อให้แก้ไขปัญหาและทำในสิ่งที่ถูกต้องในสถานการณ์ต่าง
ๆ
6. การตรวจสอบจริยธรรม เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการประเมินประสิทธิผลของระบบจริยธรรมเกี่ยวกับเรื่องข้อกำหนดต่าง
ๆ ที่ระบุว่าสิ่งใดดีถูกต้อง และสิ่งใดไม่ได้ไม่ถูกต้อง โดยองค์กรตั้งคณะกรรมการจริยธรรม เพื่อทำการตรวจสอบติดตามผลและทบทวนความเข้าใจในทางปฏิบัติเกี่ยวกับจริยธรรม ตลอดจนการกำหนดหลักเกณฑ์ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านจริยธรรม
ขอบเขตความรับผิดชอบขององค์กร
ความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย
ความรับผิดชอบขององค์กร เป็นสิ่งที่องค์การมีเงื่อนไขที่กระทำต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องนอกเหนือจากการบรรลุเป้าหมายขององค์กร ขอบเขตความรับผิดชอบดังกล่าว เป็นเรื่องที่องค์กรจะต้องคุ้มครองหรือให้ผลประโยชน์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่สำคัญ
ๆ ได้แก่
1. ความรับผิดชอบขององค์การต่อผู้ลงทุน
องค์การต้องตอบสนองต่อผู้ลงทุนด้วยอัตราผลตอบแทนการลงทุนที่เป็นธรรม แต่การประกอบ
ธุรกิจเพียงอย่างเดียวไม่สามารถนำพาองค์การไปสู่ความสำเร็จได้ ผู้บริหารยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการจัดการทางจริยธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นวิถีทางที่จะทำให้องค์การมีผลกำไรในระยะยาว องค์การจึงไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างการปฏิบัติทางจริยธรรมและผลกำไรขององค์การ การปฏิบัติอย่างมีจริยธรรมจึงเป็นวิธีการนำไปสู่ผลกำไรอย่างแท้จริง องค์การจะมีความได้เปรียบเหนือกว่าคู่แข่ง ทั้งนี้เพราะการรักษามาตรฐานทางจริยธรรม ทำให้ลดปัญหาด้านแรงงานและยังช่วยในการเพิ่มผลผลิต
2. ความรับผิดชอบขององค์การต่อบุคลากร
องค์การจะเพิ่มผลผลิตได้โดยต้องอาศัยบุคลากรหรือพนักงาน ในการดำเนินงานขององค์การ
ซึ่งถ้าองค์การตระหนักในข้อเท็จจริง และให้ความสำคัญการดึงบุคลากรเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การรับฟังความคิดเห็นข้อเท็จจริง ความคาดหวังขององค์การ การให้รางวัลกับบุคลากรที่ปฏิบัติงานดีเด่น ตลอดจนการสร้างบรรยากาศที่ดีและการทำงานเป็นทีม คำกล่าวที่ว่า “พนักงานถือเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่า” จึงเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องเสมอ
3. ความรับผิดชอบขององค์การต่อลูกค้า
การสร้างและการรักษาความภักดีของลูกค้า ที่มีต่อองค์การไม่ใช่งานที่ง่ายนักเพราะยังมีสิ่งต่าง
ๆ เกี่ยวข้องมากกว่าการขายสินค้าและการบริการ การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับกรอบความรับผิดชอบต่อลูกค้าที่จะได้รับรู้สิทธิของตน อันได้แก่
3.1 ความปลอดภัย เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของลูกค้าองค์กรต้องจัดหาสินค้าและบริการที่มีความปลอดภัย ความเชื่อถือขององค์การจะหมดไปเมื่อองค์การผลิตผลิตภัณฑ์ที่อาจเป็นอันตรายต่อลูกค้า
3.2 การรับรู้ลูกค้ามีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ซึ่งถือเป็นส่วนควบผลิตภัณฑ์ที่ทรงคุณค่ามากที่สุด การแสดงความรับผิดชอบขององค์กรต้องให้ข้อมูลที่เป็นจริงแต่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นราคา คุณภาพ ขนาด รูปร่างและคุณสมบัติอี่น ๆ
3.3 การบอกกล่าว เป็นสิทธิของผู้เป็นลูกค้าที่จะแนะนำช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างองค์กรและลูกค้า องค์กรต้องมีความรับผิดชอบที่จะสร้างกลไก เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสินค้าและบริการจากลูกค้า
3.4 การศึกษา ความรับผิดชอบขององค์กรที่ให้ลูกค้าเข้าสู่โปรแกรมการศึกษาเป้าหมาย คือ ให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลอย่างเพียงพอ เพื่อใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการ ตลอดจนวิธีการใช้ที่เหมาะสม
3.5 การเลือก เป็นสิทธิของลูกค้าที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการที่มีจำหน่ายอยู่ในตลาด องค์การจะต้องไม่สร้างข้อกำจัดในการแข่งขัน
1.3.2 ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ลูกค้าในยุคปัจจุบันจำนวนมาก ได้นำความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมเข้าไป เป็นส่วนหนึ่งของหลักเกณฑ์การซื้อ นอกเหนือจากราคา คุณภาพ การบริการและอื่น ๆ จากการศึกษาผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาถึงผลกระทบของผลิตภัณฑ์ที่เลือกซื้อ พอใจที่จะจ่ายค่าผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี ดังนั้น องค์การถึงแม้ว่าจะเป็นขนาดย่อมก็ควรที่จะแสวงหาวิธีการที่เหมาะสมในการดำเนินงานเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การปรับปรุงเครื่องจักรใหม่เพื่อลดมลพิษทางน้ำและอากาศ การักษาระบบนิเวศและ อื่น
ๆ อย่างไรก็ตามความสามารถขององค์กรในการผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นให้กับลูกค้า การควบคุมมลพิษจึงเป็นภาระงานที่หนัก สำหรับองค์กรการขนาดย่อมเนื่องจากองค์กรอาจมีเครื่องจักรที่ล้าสมัย และมีเงินทุนอยู่อย่างจำกัด
องค์กรจะต้องเรียนรู้ถึงต้นทุนการดำเนินงาน เพื่อความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม และยังเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน สิ่งสำคัญที่องค์กรจะต้องปฏิบัติ คือ
1. ลด
(Reduce) ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยลดจำนวนวัตถุดิบ/วัสดุ ที่จะก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
2. ใช้ใหม่
(Reuse) เท่าที่สามารถทำได้ โดยส่วนที่เสียหายจากการผลิตนำมาเป็นวัตถุดิบของอีกผลิตภัณฑ์หนึ่ง
3. แปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์ใหม่ (Recycle) โดยการใช้วัตถุดิบ/วัสดุที่ถูกกำจัดทิ้งไปและนำมาสร้าง หรือผลิตเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ใหม่
ที่สำคัญที่สุดองค์กรจะต้องมีความรับผิดชอบต่อชุมชน โดยอาจจัดหางานสร้างความมั่งคั่งหรือสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นในวิถีทางต่าง ๆ
องค์การที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมจะต้องรู้ถึงหน้าที่ที่จะให้กับชุมชนในการพัฒนาในด้านต่าง
ๆ องค์กรที่ให้การสนับสนุนชุมชนมักมีผลประกอบการที่ดีกว่าองค์กรที่ละเลยต่อความรับผิดชอบ
0 ความคิดเห็น:
ไม่อนุญาตให้มีความคิดเห็นใหม่